ถึงแม้ว่าสรีระของมนุษย์จะถูกแบ่งจากทั้งเพศหลักและเพศรองแล้ว แต่ก็ยังคงมีแนวคิดแบบ Gender binarism เป็นหลัก โดยแบ่งแยกเป็น Masculine และ Feminine ซึ่งอัลฟ่าหญิงจะถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ Masculine และ โอเมก้าชายจะถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ Faminine แต่กับเรื่องการแต่งกาย ผู้คนในสังคมก็มักจะยึดตึดกับเพศต้นเป็นหลักเนื่องจากเป็นสิ่งที่รับรู้ได้ชัดเจนจากภายนอก

 

       สภาพสังคมในปัจจุบันเซตติ้งนี้จะยังคงมีการกดทับของทางเพศและชนชั้นอยู่ โดยหลักปิตาธิปไตยยังคงฝังรากลึกในสังคมหลายแห่ง ถึงจะมีการผลักดันร่างกฎหมายคุ้มครองสิทธิต่างๆของแต่ละเพศมากขึ้น แต่ยังมีหลายส่วนที่ยังใช้ค่านิยมเก่าๆที่กีดกันโอเมก้า และให้สิทธิพิเศษกับอัลฟ่าเพื่อผลักดันความสามารถ รวมถึงยังมีบางพื้นที่ที่หลีกเลี่ยงการให้กำเนิดโอเมก้าด้วยวิธีการต่างๆ หลายองค์กรยังคงปฏิเสธการรับโอเมก้าเข้าทำงานเนื่องจากการใช้วันลาป่วยที่เยอะกว่าและอาจก่อความวุ่นวายในสถานที่ได้ แต่ก็มีบางองค์กรที่พยายามให้โควต้าพนักงานโอเมก้าเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่สนับสนุนความหลายซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังนิยม ถึงแม้บางทีบุคลากรภายในจะไม่ได้สนับสนุนนโยบายนี้ก็ตาม

 

       โอเมก้าส่วนใหญ่มักจะได้ทำงานในสถานประกอบการที่ให้ค่าแรงต่ำ เนื่องจากมักจะไม่ได้รับโอกาสที่เท่าเทียมในการศึกษาต่อในระดับสูงเท่าไรนัก หากมีตำแหน่งหรือชื่อเสียงก็มักจะมีคำครหาเรื่องการใช้ร่างกายเป็นเครื่องต่อรองต่อผู้มีอำนาจ การกีดกันโอกาสจะต่างกันไปในแต่ละวงการอาชีพ วงการที่มีความเป็นปัจเจกบุคคลเช่นวงการศิลปะและบันเทิงมีแนวโน้มที่จะยอมรับตัวตนของโอเมก้ามากกว่าหากมีความสามารถที่ดีพอ

 

       ถึงแม้อัลฟ่าเองจะไม่ได้รับการยอมรับจากการประกอบบางวิชาชีพ เช่น แพทย์ หรือผู้พิพากษา เนื่องจากฟีโรโมนต่างๆอาจทำให้มีผลต่อการทำงานได้ และยังมีภาพพจน์ที่ก้าวร้าวในมุมมองของบางคน แต่ด้วยความสามารถที่โดดเด่น ตำแหน่งผู้นำทางสังคมจึงมักจะมีอัลฟ่าอยู่ร่วมกับเบต้า การตราระเบียบหลายอย่างจึงไม่ทำให้อัลฟ่าเสียเปรียบแต่อย่างใด เช่นการก่ออาชญากรรมทางเพศของอัลฟ่าที่หากพิสูจน์ได้ว่าได้รับอิทธิพลจากฟีโรโมนของโอเมก้า อัลฟ่าที่กระทำผิดมักจะได้รับโทษสถานเบาไปจนถึงได้รับการยกเว้นโทษ

 

       เบต้าส่วนใหญ่ยังคงมองว่าเรื่องของอัลฟ่าและโอเมก้าค่อนข้างจะไกลตัว เนื่องจากการแต่งงานระหว่างเบต้าด้วยกันมีโอกาสให้กำเนิดเพศรองอื่นต่ำมาก และเบต้าเองก็ไม่นิยมจับคู่กับโอเมก้านักเนื่องจากความเชื่อที่ว่าการที่ไม่สามารถสร้างพันธะทางกายด้วยได้จะทำให้โอเมก้ามีโอกาสนอกใจคู่ของตนสูง ซึ่งในจุดนี้ก็ยังคงมีข้อถกเถียงกันเรื่อยมา มีทั้งงานวิจัยและบทความที่ขัดแย้งไปจนสนับสนุนแนวความคิดนี้

 

       ถึงปัจจุบันในสหรัฐอเมริกาที่ประกาศตัวเองว่าเป็นประเทศแห่งเสรีภาพจะมีการยกเลิกข้อกฏหมายที่บังคับให้โอเมก้าต้องใส่ปลอกคอตลอดเวลาแล้ว แต่การถูกทำพันธะของโอเมก้าที่ไม่สวมปลอกคอในช่วงฮีทก็ยังคงไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ดังนั้นสังคมก็ยังไม่ยอมรับการเปลือยลำคอของโอเมก้า เนื่องจากมองว่าไม่ต่างอะไรจากการเชิญชวนให้เข้ามาจับจองร่างกาย และในหลายประเทศก็ยังคงบังคับใช้กฎหมายนี้อยู่โดยเฉพาะประเทศฝั่งตะวันออก 

 

       ในหลายพื้นที่ของอเมริกายังคงมีอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับปัญหาเพศรองเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ ซึ่งนั่นได้ตอกย้ำภาพพจน์ที่อ่อนแอของโอเมก้า รวมไปถึงดคีบางประเภทก็ถูกผู้มีอำนาจเพิกเฉย เช่นการทอดทิ้งหรือทำร้ายเด็กที่พบว่าเป็นโอเมก้า หรือการค้าขายโอเมก้าในขบวนการค้ามนุษย์ การฟ้องร้องความไม่เป็นธรรมในที่ที่ทำงานหรือความเท่าเทียมต่างๆในสถาบันก็มักจะไม่มีการเคลื่อนไหว หากเป็นข่าวเสียหายที่โอเมก้าเป็นผู้ต้องหาก็มักจะได้รับความสนใจมากกว่าข่าวทั่วไป

 

       ด้วยภาพจำของสังคม การทำแท้งของโอเมก้ามักจะได้รับการยอมรับมากกว่าการทำแท้งของเบต้าหรืออัลฟ่า เนื่องจากความเชื่อที่ว่าร่างกายโอเมก้าเกิดมาเพียงเพื่อการขยายเผ่าพันธุ์และสามารถตั้งครรภ์ได้ง่าย

 

       แม้ว่าการกดทับชนชั้นทางเพศจะฝังลึกอยู่ในสังคมทั่วไป แต่กระแสการผลักดันสิทธิของเพศต่างๆ ก็ได้ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะในบางแห่งที่เริ่มมีการปรับข้อกำหนดเพื่อความเท่าเทียมทางสังคมจากการกดดันของกลุ่มเรียกร้องสิทธิที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันในระดับท้องถิ่น